
PedNewCastle
นักเตะชุดยู21-
Posts
111 -
Joined
-
Last visited
About PedNewCastle

PedNewCastle's Achievements

นักเตะชุดยู21 (3/15)
12
Reputation
-
เหลียวหลังแลหน้าไปกับการเปลี่ยนแปลงของแผนการเล่นและแทคติก ( A briefly Changes in Football Formations and Tactics in Decades ago) บทนำ *บทความนี้เป็นบทความกึ่งFM ที่ไม่ได้เป็น Guideline โดยตรง ออกไปทางฟุตบอลทั่วไปมากกว่าด้วยซ้ำ แต่ก็หวังว่าจะเป็นภาพใหญ่ๆให้เพื่อนๆได้เห็นที่มาที่ไปของแผนการเล่นในอดีต และหวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อการนำไปปรับใช้กับตัวเกมได้บ้างไม่มากก็น้อย บทความนี้เกิดขึ้นมาได้จากมาจากคำถามที่ผมสงสัยใคร่รู้มานาน ว่า “ทำไมเกมฟุตบอลในยุคปัจจุบันหรือที่เรียกว่าฟุตบอลร่วมสมัย (Contemporary Football) จึงได้แตกต่างกับอดีตหรือยุกคคลาสสิค* ยิ่งนัก?” จนทำให้เกิดผลกระทบกับการดูบอลทั้งในแง่อรรถรสความสนุกจากการดูที่แตกต่างจากเดิม, การยิงประตูแบบดราม่าพลิกเกมระหว่างทีมใหญ่ในแมตช์ใหญ่มีน้อยลง , สไตล์นักเตะที่ชื่นชอบไม่เหมือนเดิม ซึ่งผมเชื่อว่าหลายๆคนที่คลั่งไคล้และเซียนบอลทั้งหลาย คงจะรู้อยู่แล้วล่ะว่า รูปเกม ที่มันเปลี่ยนมาจากจังหวะการเล่นที่รวดเร็วมากขึ้น, การเคาน์เตอร์แอ็ตแท็ก และต้องการความแข็งแกร่ง/ความเร็วมากขึ้น(more physical) แต่เราก็จะสังเกตได้ว่าในช่วงยุค 90s-2000s มันก็เปลี่ยนไปจากยุค 80-90ต้นๆอยู่แล้วนี่ ความเร็วมากขึ้น แข็งแกร่งมากขึ้น เอ้า! แล้วยุคเมื่อทศวรรษที่แล้วมันต่างกับตอนนี้ยังไงหว่า? ดังนั้นไอ้ที่ปัจจุบันนี้เกมมันเปลี่ยนไปคือการนำระบบกลาง 5 ตัว/การนำกองกลางตัวรับเข้ามาเป็น keyman สำคัญของการปั้นเกม (build-up play) จุดเดียวเลยใช่มั้ย?? ถ้าเราพูดอย่างนี้ก็อาจจะทำให้เกิดการตีความแบบเหมารวมว่า ผู้จัดการทีมเด๋วนี้มันป๊อดแหกเล่นเน้นผลการแข่งขันมากเกินไปจริงรึเปล่า? หรือเป็นเพราะความเร็วเกมและความหนักหน่วงของเกม(ในแง่ความอึด) ทำให้นักเตะต้องใช้ fitness/physical มากกว่าเดิม จะขี้เกียจไม่ได้อีกแล้ว หรือเป็นเพราะ 2 ปัจจัยร่วมกัน หรือทั้งสองที่กล่าวมายังไม่ใช่ปัจจัยหลัก หากแต่มีปัจจัยอื่นๆเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย?? *ยุคคลาสสิค ข้างบน ในความหมายของผม คือ ยุค 1990s+ ->2000s ต้นๆ ซึ่งเป็นคลาสสิคในความหมายเชิงจิตใจของผม แต่ตามหลักแล้วต้องเรียกยุคนี้ว่าเป็นยุค (Modern Football) เนื่องจากผู้เขียนอายุ20ต้นๆ ดูยุค70-80sไม่ทัน จ้า! จากคำถามหลัก ได้นำมาสู่คำถามที่ผมคิดว่ามันน่าจะมีจุดร่วมอะไรบางอย่าง สามารถแตกประเด็นคำถามสำคัญได้เป็น ข้อ 3 ย่อย ดังนี้ 1.เพราะเหตุใดฟุตบอลในสมัย หลัง 2000s) ระบบการเล่น 4-4-2 จึงได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในช่วงที่ผู้เขียนเริ่มหัดดูบอล จนนึกไปว่าหากดูบอลผังการเล่นก็ต้องเป็น 4-4-2 หรือ 4-4-1-1 เท่านั้น แล้วทำไมในปัจจุบันผังการเล่นนี้จึงเริ่มเสื่อมถอยจากบรรดาทีมใหญ่ ช่วงจุดเปลี่ยนสำคัญอยู่ที่ไหน? 2.ทำไมนักเตะระดับโลก หรือบรรดาแคนดิเดตที่ได้รับ บัลลงดอร์/เวิลด์เพลเยอร์ จึงถูกจำกัดวงแคบอยู่เพียง 2 สตาร์+1 Messi and CR7 และมักจะมี+1มาอีกคนแต่แค่ประดับๆไปงั้น ทั้งที่ในช่วงทศวรรษที่แล้วหากเอ่ยถึงสตาร์ดัง Zidane Figo Totti Del Beckham RonaldoR9 ฯลฯ ทุกคนล้วนอยู่ในระดับเดียวกันและเด่นได้หลากหลายตำแหน่ง? 3.ทำไมฟุตบอลระดับทีมชาติ ตั้งแต่ช่วงหลังปี 2002 (บอลโลก) หรือตั้งแต่ยูโร 2004 เป็นต้นมา ดูแล้วน่าเบื่อมากขึ้น? 4.... 5.... นิยามที่ควรรู้ (for non-FMers) 1.ผังการเล่น (Formation) หรือแผนการเล่น ,ไดอะแกรม คือระบบระบุตำแหน่งของนักเตะในสนาม เช่น 4-4-2, 4-3-3 หรือบอกตำแหน่งนักเตะอย่างหยาบๆ ว่ามี กองหลัง กองกลาง กองหน้า อย่างละกี่คนในการจัดทีมแข่งขัน 2.แทคติค (Tactics) กลยุทธในการเล่น ซึ่งจะทำงานอยู่ในผังการเล่นอีกที อย่างเช่น 4-3-3 ในบ้านกับนอกบ้าน เวลาเล่นในบ้านปีกจะดันขึ้นสูงเสมือนหน้า นอกบ้านจะออกมาแนวๆ 4-5-1 เป็นต้น หรรือกล่าวได้ว่า Tactic เป็นสไตล์การเล่น ส่วน Formation คือรูปร่าง โครงร่างหลัก มองอดีต สิ่งที่ผมคิดว่า เราต้องทำความเข้าใจเป็นอันดับแรก คือ การเหลียวหลังไปมองถึงยุค Classic (70-80s+) ซะก่อน เพราะเราจะเข้าได้ใจถึงเหตุผลเบื้องลึกของการเปลี่ยนผ่านมาสู่ยุคที่ 4-4-2/4-4-1-1 ครองอำนาจในวงการลูกหนังโลก (หรือแผนใดก็ตามที่นิยมหน้าคู่ และ/หรือ ไม่นิยมใช้กองกลางตัวรับ ) ลักษณะเด่นของแผนการเล่นในอดีต คือ 1.การครองพื้นที่แดนกลาง (Midfield Domination) สำคัญที่สุด เอ้าคุ้นๆแฮะ ก็เหมือนปัจจุบันดิ้? แต่ข้อต่างคือ focus และความหลากหลายจะต่ำกว่า จะเน้นการขึ้นเกมจากตรงกลางสนาม เจาะจากตรงกลาง เป็นพื้นที่แรกที่จะบุกขึ้นไป ดังนั้นเป็นการบีบให้อีกฝ่ายใช้หลัง 3 ด้วย หรือไม่ก็เป็น Sweeper /Libero กล่าวในแง่ผังการเล่น คือ ระบบ 3-3-3 (+2วิงแบ็ค,+1สวีปเปอร์หรือ+1 กลางรุก) ซึ่งแตกมาได้เป็นแผนจำพวก 1-3-3-3 Totaalvoetball, 3-4-1-2 Germany, 3-5-2 ,3-2-2-3WM โดยแกนของการเล่นจะเป็นระนาบเดียวกัน (Flat line)ทั้งหลัง-กลาง-หน้า, หากต้องการเกมด้านข้างเพิ่มเติมก็จะมี Wingback หรือเป็น 4-3-3 แฟลตไลน์ 2.ระบบ Man-marking แบบเก่าของแผงหลัง (รวมถึง Catenacio) ที่ตอบสนองกับระบบหน้าคู่และหน้า3 (หน้า3จริงๆ ไม่ใช่ปีกกึ่งหน้า) หรือเมื่อเจอทีมที่มีกองกลางตัวรุกหมายเลข10 ก็จะต้องนำกลาง 1 ตัว หรือ หลัง 1 ตัวขึ้นไปประกบ กล่าวคือ พื้นที่รอยต่อระหว่างกองหลังและกองกลาง หรือกลางรับนั่นแหละ ยังหา กลางรับอาชีพได้ยาก จนเราแทบไม่เห็นในยุคก่อน เพราะมักจะถูกแย่งซีนไปแล้วโดย Libero -2.1 หากไม่ได้เล่นหน้า 3 ตัว หน้าที่ข้างสนามตกเป็นหน้าที่ของ Wingback ทั้งหมด! - - ดังนั้น คำถามที่ว่าทำไมแต่ก่อนพวกเขาถึงไม่นิยมใช้กลางรับกันล่ะ? อะไรคือเหตุผลเบื้องหลัง ผู้เขียนคิดว่าเนื่องจากมิติของเกมด้านข้างยังคงถูกจัดลำดับความสำคัญอยู่ในลำดับที่รองลงมาจากการเจาะพื้นที่ตรงกลางอยู่ รวมถึงการมีหน้า 3 ยืนอยู่ข้างหน้าอยู่แล้วหรือมีวิงแบ็คก็เพียงพอแล้ว ดังนั้นตรรกกะการนำกลางรับเข้ามามีแต่จะส่งผลให้เกมรุกไม่ไหลลื่น เนื่องจากพื้นที่ครึ่งสนามข้างหน้าจะมีตัวรุกไม่เพียงพอ เช่น แผน 3-5-2 (3 เซ็นเตอร์, 3 wingbacks+กลางรับ , 2 กลาง, 2 หน้า) จุดอ่อนที่สำคัญที่สุดของแผนการเล่นประเภทนี้ จึงเป็นการไม่ตอบสนองต่อเกมบุกทางด้านข้าง หรือ แผนกองหน้าเดี่ยว ที่มีปีกอยู่ริมเส้นจริง เพราะจะทำให้กองหลังที่อัดแน่นอยู่ 3 ตัวตรงกลางถูกดึงออกไปจากปีกด้านข้างจนเกิดพื้นที่ว่างจนเหลือหลังแค่ 1 คน รวมถึงความแน่นอนของการประกบจาก wingbacks ที่ต้องคอยเติมเกม ไม่สามารถจะประกบปีกอีกฝั่งได้ตลอด การมาของ 4-4-2 (Modern 4-4-2) อ้าวววววว ที่กรูรู้มา 4-4-2 มันก็แพ้ทาง back3 อยู่แล้ว ไม่ใช่หรอกหรอ!! ทำไมถึงแจ้งเกิดได้ล่ะ?? เหตุผล คือ แนวโน้มของการใช้พื้นที่ในสนามเปลี่ยนไป จากการเจาะกลาง (Through the middle) มาเป็นแบบผสม (Mixed/Balance) หรือออกข้าง(Down Flanks) แทนเพื่อให้การขึ้นเกมหลากหลายเดาทางลำบากขึ้น กองหลัง เพราะว่าระบบ back4 สมัยก่อน มีแนวคิดมาจากกานเน้นเกมรักเป็นหลัก! กล่าวคือตำแหน่ง Fullbacks ทั้ง2ฝั่งในสมัยก่อน ได้ถูกคิดค้นขึ้นมาแก้ทาง เมื่อเจอ หน้า 3 เท่านั้น จุดประสงค์ไม่ได้ต้องการให้พวกเขาเติมขึ้นหน้าแบบ wingback ดังนั้น 4-4-2 จึงได้ถูกอัพเกรดขึ้นมาในช่วงยุคกลาง 90s เกิดตำแหน่งใหม่ที่เรียกว่า Attacking-Fullback ที่อย่างน้อยจะต้องมีข้างใดข้างหนึ่งเติมขึ้นไปช่วยปีกเสมอ เพื่อ overload พื้นที่ด้านข้าง และนี่ก็เป็นจุดจบของ wingback และระบบ back3 ไปเลยช่วงหนึ่ง กล่าวคือข้อดีของ Back4 แบบใหม่ที่นอกจากจะสามารถจัดการกับหน้า3ตัวได้แล้ว ยังสร้างมิติเกมรุกได้อีกด้วย กองหน้า การเกิดขึ้นของหน้าต่ำ Deeplying-Forward หรือหมายเลข10ปลอม หรือพูดง่ายๆ คือTrequartista แบบ False 10 เช่น R.Baggio, Del Piero, Totti ที่ในแง่ผังการเล่นพวกเขาถูกจัดว่าเป็นกองหน้ามิใช่กองกลาง เช่น ใน 4-4-2 หรือ 4-4-1-1 ที่ 1 นั้นไม่ใช่กลางนะ! โดยเวลาเล่นจริง มีอิสระการเล่นหรือ Free Roaming ที่ไม่เหมือนกับ Playmaker ที่ยืนเป็นแกนกลางของการบุก ด้วยเหตุเหล่านี้ ระบบback3 จึงถูกรุมล้อมจนแทบจะสูญพันธุ์ไปเลย... จึงเป็นเหตุให้ว่าทำไม 4-4-2/4-4-1-1 ในยุค-2000s ถึงตอบโจทย์ได้ทุกอย่าง จนถูกกล่าวว่าในแง่ผังการเล่นเป็นรูปทรง (shape) มาตรฐานให้กับแผนการเล่นอื่นๆ โดยสามารถแบ่ง ออกไปได้เป็น 20 ผังย่อยๆ กล่าวคือ ทำไม 4-2-3-1 ที่นิยมในปัจจุบันจึงเป็น subset ของ 4-4-2 ในสมัยนั้น เคสที่จะยกมาเป็นตัวอย่าง คือ Arsenal ในยุค Bergkamp ที่ใช้ Formation นี้มาจนถึงยุคไร้พ่าย รวมถึงแมนยูยุคปลาย Cantona ต้นเด็กป๋า Beckham,Giggs,Scholes โดยที่ Cantona/Bergkamp จะทำหน้าที่เป็นหน้าต่ำใน 4-4-1-1กึ่ง4-4-2 และจะเป็น 4-2-3-1 ก็ต่อเมื่อปีกดันขึ้นสูงเมื่อต้องการสกอร์ กล่าวคือสิ่งที่แตกต่างกับปัจจุบันก็คือยังเป็น Classic Winger ที่ยังคงครอสบอลอยู่ แต่ดันขึ้นสูงนะ จึงเรียกได้ว่า 4-2-3-1 เป็นเพียงการปรับสไตล์ของ 4-4-2 โดยธรรมชาติ (natural conversion) มิใช่การปรับตำแหน่ง Position หรือหน้าที่ใดๆ กองกลาง เมื่อ Focus ไม่ได้เป็นการเจาะกลางแต่เพียงอย่างเดียว ทำให้กลางจ่ายบอล (Passing Midfielder/Specialist) ที่ส่งแม่นระดับพระกาฬอย่าง Pep Guardiola, หรือ Pirlo ช่วงInter และอีกหลายๆคน แทบจะอยู่ไม่ได้ในช่วงนี้จนรายแรกต้องไปขุดทองทั้งที่ยังไม่พ้นช่วงพีค ก็เพราะว่าความแม่นไม่ได้จำเป็นขนาดนั้น มีปีกคอยช่วยด้านข้างอยู่แล้ว เท่ากับว่าการพาสบอลแม่นกลายเป็นส่วนเสริม-Bonus ส่วนสิ่งที่จำเป็น คือ การเป็นกลางสารพัดประโยชน์ แท็คได้ ดุดันได้ จ่ายได้ เติมเกมได้ ที่เราเรียกว่า Box-to-Box นั่นเอง อย่าง Viera, Davids, Keane-Scholes , Ballack ฯลฯ หรือในอีกแง่หนึ่ง 4-4-2 ได้ทำให้เกิดปรัชญาแบบ ระบบ Partnership/Band of Twos และระบบแบ่งแยกหน้าที่ ที่ในกรณีนี้กลางทั้ง 2 ตัว ถ้าไม่สามารถหา Box-to-Box ทั้งคู่ได้ จะต้องมีตัวใดตัวหนึ่งเป็น Destroyer/Ball-winning ส่วนอีกตัวอย่างน้อยจะต้องทำหน้าที่ได้ 2 อย่าง คือ Passer+Creator แล้ว Creator คืออะไร? ครีเอเตอร์คือกลางที่ยังสามารถสร้างสรรค์โอกาสจากทักษะของตัวเองได้ ยังไปกับบอลเองได้บ้าง มีสปีดระดับหนึ่ง จริงๆแล้วก็คือกลางทั่วๆไปน่ะแหละ เช่น Fletcher ดังนั้นเมื่อเป็นเช่นนี้ Pep และ Pirlo จึงตกระกำลำบากทันที Band of Twos ในตำแหน่งอื่นๆก็เช่นเดียวกัน คือ การประสานงานระหว่างหน้าต่ำ-หน้าเป้า, ปีกซ้าย-ขวาแบ็คซ้าย-ขวา, กองหลังคู่ *ในกรณีปีกนั้น ในยุค80-90s ก่อนหน้านั้น หรือยุคอิงลิชฟุตบอลสมัยก่อน ถ้า เราจะเรียกให้ถูกจริงๆ ไม่ใช่ปีก หากแต่เป็น Wide-man/midfield ที่ไม่ได้วิ่งขึ้นสูง แต่เน้นยืนเปิด ทำให้เกมรับแน่นหนาด้วยดับเบิ้ลมาร์กกิ้ง ที่ชัดสุด คือ Beckham,ปีก Italy ชุด WC2006, ,Ramseyบางเกม สรุป แก่นของ 4-4-2 แท้จริงแล้วไม่ใชเพียงผังไดอะแกรมที่ออกมาเท่านั้น แต่ได้รวมถึงความหมายในแง่ปรัชญาการทำทีมและแทคติคเป็นประเด็นหลัก ที่ต้องการก้าวพ้นระบบเดิมที่ยึดติดกับ หน้ากลางหลัง (3-3-3) ไม่ยืดหยุ่น-ตายตัวเกินไป หรือถ้าหลัง4 ก็จะยึดติดว่าเป็นแผนอุดเท่านั้น โดยการเพิ่มอิสระการเล่นให้กับ fullbacks และระบบ Partnership ได้ทำให้ความต้องการของคุณสมบัตินักเตะแต่ละตำแหน่งเปลี่ยนไป Sweeper/Libero สูญพันธุ์, Wingbacks ต้องผันตัวลงต่ำ, และข้อสังเกตที่สำคัญที่สุดดดดดด คือ ***กองกลางตัวกลาง ได้กลายเป็น ตำแหน่งสารพัดประโยชน์-จับฉ่ายที่สุดในทีม และเป็นเหตุให้ คำว่า “จอมทัพ” สำคัญมากในยุคนั้น เริ่มเห็นข้อแตกต่างมั้ยครับเพื่อนๆว่า เอ๊ะ แล้วทำไมปัจจุบันมันกลับกันล่ะ เมื่อ กองหน้า ได้กลายเป็นตำแหน่งที่ต้องสารพัดประโยชน์ที่สุดในทีม (All-in-One, Complete Forward/Attacker) ทำได้ทุกอย่าง เช่น Messi, Ronaldo แทนที่ระบบพ้าทเน่อและระบบแบ่งแยกหน้าที่ ขณะเดียวกันกองกลางแบ่งแยกหน้าที่กันมากขึ้น ซึ่ง คือ ระบบกลาง 3 ตัวแบบTriangle นั่นเอง หรือแม้แต่เราก็จะเห็นภาพในอดีตด้วยว่า สมัยก่อนก็มี Libero ที่ทำได้ทุกอย่าง เช่นกัน..... หรือแม้แต่ปัจจุบันได้ลามจนไปถึง กลางรับ ที่ทำได้ทุกอย่าง... เช่น Busquets, Schweiny, Carrick และเทรนด์ใหม่ตอนนี้ 2 ตำแหน่ง คือ 1.inverted fullback หรือฟูลแบ็คตัดเข้าใน เช่น L.Baines, และ Complete wingback ที่จะมาใน FM14 (ยังงงอยู่) 2.หลังครีเอทีฟ (Creative Defender) เช่น Hummels, Mascherano และ Vermaelen(มั้ง) คนละอย่างกับ Ball-Playing ใน FM นะ แต่ไม่ต่างมาก ทิ้งท้าย แบบย่อไว้ก่อน เราอาจอสรุปได้ว่าแนวโน้มความต้องการของคุณสมบัตินักเตะในทีมระดับท็อป มีแต่จะต้องการ นักเตะที่มีความสามารถรอบด้าน (All-rounder) มีวิสัยทัศน์ไหวพริบ กว้างไกลมากขึ้น ส่วนนักเตะคลาสสิคประเภทหน้าเป้าโป้งปิด(ตัวอย่างเช่นตอนที่แล้ว), ปีกแบบคลาสสิค, เพลเมคเกอร์หมายเลข10 (Enganche) มีแต่จะสูญพันธุ์ลงไป ?? หรือท้ายที่สุดแล้ว 4-4-2 จะกลับขึ้นมาเกิดขึ้นได้อีกครั้ง เพราะช่วงหลังๆมานี้ 3-5-2 (Juventus), 3-4-3 (Barca,Juventus) ได้หวนกลับมาอีกครั้ง = ว่าถ้าทฤษฎีนี้ถูก แผนการเล่น(ในแง่ผังการเล่น) มันก็ไม่ได้ก้าวไปไหน หากแต่วนเวียนไปวัฎจักร แต่สิ่งที่เปลี่ยนคือ ความต้องการนักเตะหรือ (Player Requirements) ดังที่กล่าว เพื่อเหตุผลในเชิงแทคติคคือ การประหยัดตำแหน่งในตัวรุก!? ผมไม่แน่ใจว่าจำเป็นที่จะต้องมีตอนต่อไปไหมและจะออกมาเมื่อไหร่ (เอาเป็นว่าขอ edit 2 บทความแรกให้สมบูรณ์อ่านแล้วไม่งงก่อนแล้วกัน) เพราะมันก็ได้ตอบคำถาม 3 ข้อใหญ่ไปในตัวแล้ว และบางท่านอาจจะเก็ตกับสิ่งที่ผมพยายามอธิบายไปแล้ว เพราะตอนต่อไปผมก็คงเขียนเป็นเรื่องของ ที่มาของ modern 4-3-3/4-2-3-1 การขึ้นมาของ Makelele และการจากไปของหมายเลข ’10 ซึ่งอันนี้เชื่อว่าทุกคนคงรู้ดีแล้วล่ะ หรือในคำถามย่อยข้อ 3 คือ ทำไมฟุตบอลโลกน่าเบื่อมากขึ้น? ให้ท่านลองนึกถึงเกมก่อนรองปี’06 ระหว่าง Portugal และ Holland ที่เป็นเกมประวัติศาสตร์ที่มีการแจกเหลืองแดงมากที่สุด รวบรวมกลางรับที่โหดที่สุดในโลกมารวมกัน เช่น Maniche,Costinha vs Cocu, V.Bommel คือมันหงุดหงิดเพราะเจาะ-กินกันไม่ลง แถมมีหน้าเป้าเป็นสาก Kuyt และ Pauleta/Almeida จนทำให้ปี 06 กลายเป็น เกมอารมณ์มากกว่าความสนุกสนาน ลามมาจน Headbutt ฆ่าตัวตายของ Zidane ที่ต้องการประกาศให้โลกรู้ว่า ยุคแห่งราชาโจรสลัดได้หมดสิ้นลงที่เขาแล้ว.............เอ้ยยยยยยยยยยยยยยยยย!!!!!! ***แต่จะมีประเด็นในเรื่องของกลางรับ ซึ่งเป็นประเด็นที่ค่อนข้างละเอียดอ่อน เพราะมันมีการเปลี่ยนแปลงเร็วมว้ากกกกและเปลี่ยนอยู่ตลอด รวมถึงไม่ได้มีแบบไหนที่หายออกไปเลย ซึ่งหากนำมาพูดเด๋วจะยาก เช่น -อย่างช่วงยุค 2006+ เริ่มเกิด การลดจำนวนไปของกลางรับแบบ Makelele หรือ (Ball-winning,Physical, Anchorman) ในกรณีChelsea คือ แทนที่ด้วยการมาของ Mikel และ Essien ใน Germany ก็คือ Schwein แทน Frings ฯลฯ -ยุค 2007-8+ ได้การเกิดขึ้นของ Carrick, Busquets, D.Pizarro (Deeplying-Playmaker) หรือแบบ Pep/Pirlo เก่านั้นแหละ ช่วง 2-3 ปีมานี้ กลายเป็นว่า Regista(Deeplying แขนงหนึ่ง) และ Enganche(Playmaking แขนงหนึ่ง) ได้หวนกลับมาอีกครั้ง ซึ่งไม่แปลกเลยทำไม FM2014 ถึงยิ่งซอยย่อยประเภทกองกลางตัวกลางให้เป็นตำแหน่งที่แบ่งแยกหน้าที่มากที่สุดไปแล้ว -หรือกรณียกเว้นพิเศษไม่กี่ทีม เช่น Roma ยุค Capello ที่มักจะเล่นแผนแปลกๆเป็นปกติอยู่แล้ว (3-5-2/3-1-3-2-1) คือ มี Emerson(C.Zanetti/Tomasi) ลามมาถึง Madrid ที่ลุงแกก็ดึงมาด้วย และ Milan ยุคPirlo ที่เป็นข้อยกเว้นอยู่แล้ว -ยังไม่อยากจะพูดถึงเพราะมันเปลี่ยนตลอด ยิ่งในปัจจุบัน Bayern ของ Pep (4-1-4-1) ก็กำลังอยู่ในช่วงที่ได้รับกระแสความสนใจเป็นอย่างมาก เพราะการจัดแผนกองกลางแบบนี้เป็นวิธีใหม่ในการดีลกับกลางรับในปัจจุบันได้ โดยการ overload พื้นที่ช่วง wingbacks เก่าและกลางรับออกไป Work in Progress รูปจะมาใส่ให้ภายหลังแน่นอน จะได้เข้าใจง่ายๆ เพราะผมยังงเองเลย55+ :003:
-
ตอน: สุดยอด "นักล่าประตู" ที่แท้จริง คือใครกันแน่!?
PedNewCastle replied to PedNewCastle's topic in FM2013
ใช่เลยครับ ลืมเขียนลงไปเลย แย่จัง! หน้าประเภทนี้ จะไม่เวิคเป็นอย่างยิ่งลย ถ้าเราเล่นแผน 4-3-3 ที่เป็น 4-1-2-2-1 หรือแผนที่ไม่มี playmaker (AMC Support) ยืนอยู่ข้างหลัง เพราะบอลจะไม่ถึง แล้วถ้าคนไหน Workrate+Teamwork ต่ำ ก็จะยิ่งไม่มีส่วนร่วมเลย และถ้าหากว่าปีกด้านข้างดันเป็น inside forward ทั้งคู่ มันจะเกิดปัญหาให้พวกข้างหน้า 3 คน แย่งกันยิงอีก *แล้วประเด็นคือ คุณภาพของ AMC อาจจะต้องถึงระดับ Ozil Cesc Isco เลยด้วยซ้ำ เพราะ AMC ธรรมดาอาจไม่ตอบสนองได้เพียงพอ! แต่ถ้าเล่น 4-4-2 หรือระบบหน้าคู่ ก็ให้เซ็ตเป็น Deep-lying (Attack)/Poacher และควรจะต้องมีหน้า Support ยืนอยู่ข้างๆ ตามสเต็ป อย่าได้เป็น Attack ทั้งคู่เป็นอันขาด เพราะจะทำให้ off the ball ไร้ค่าไปทันที -
ทำไมนักเตะบางคนได้เหลืองบ่อยมากๆ ทั้งที่ค่า Aggressive ไม่ได้เยอะเลย ?
PedNewCastle replied to l3eatles's topic in FM2013
Tackling น้อยก็มีผล Personality ก็มีผล , PMs ก็มีผล -
บทนำ ผมว่าหลายๆคนที่เข้าขั้นบ้าฟุตบอลหรือเป็นเซียนบอล คงน่าจะรู้มาบ้างอยู่แล้วล่ะหรืออาจจะเคยได้ยินมาจากผู้บรรยายตามโทรทัศน์กันมาบ้าง หรืออ่านบทความนอกกันมาบ้าง ว่าในยุคของฟุตบอลปัจจุบันหรือเรียกแบบทางการคือฟุตบอลร่วมสมัยเนี่ย สิ่งที่ทำให้ยุคนี้ต่างออกไปจากยุคModern Footballหรือฟุตบอลสมัยใหม่ ซึ่งคือยุค 90 ก็คือ เกมการเล่นที่มีTempoเร็วขึ้นใช้ Physical Fitness มากขึ้น และที่ทำให้ต่างจากยุค 90 มากที่สุด คือประเด็นทางด้านแทคติคที่บีบให้กุนซือทีมดังถูกบังคับให้ต้องใช้ผู้เล่นที่มีความรอบด้านเล่นได้หลากหลายแนวในคนเดียวมากขึ้น แทนการใช้ระบบแบ่งแยกหน้าที่ชัดเจน หรือระบบการจับคู่ของผู้เล่น เพราะเปลืองตำแหน่ง เช่น หน้าคู่ที่มีจุดเด่นต่างกันออกไป การใช้ปีกแบบคลาสสิค2ข้าง ส่วนทีมที่นักเตะไม่มีศักยภาพเพียงพอที่จะเล่นไปทางนี้ก็มักจะแก้โดยการ อัดกลาง5ตัว หรือทีมที่มีความสามารถเน้นไปทางใดทางหนึ่งพิเศษก็ เล่นครองบอลสเปเชี่ยลลิสต์ไปเลย ดังเช่น บาซ่า อาเซน่อล (อันนี้นักเตะบางยุคไม่เอื้อนักแต่กุนซือมีจุดยืน อิ๊) หรือจะโยนดะอัดแหลกแบบโบลตันยุคบิ๊กแซมไปเลย เป็นต้น ฯลฯ ที่กล่าวมานั้นได้ทำให้เกิดวิกฤติการณ์หลายๆอย่างที่หลายๆคนเคยได้ยิน เช่น 4-4-2 ตายแล้ว, อวสานPlaymaker หมายเลข10 (ไม่ใช่ trequartista นะ เพราะ#10มันไม่ Free roam) Playmaker แบบ Classic คือแบบ "ยังไงกรูก็จะยืนอยู่ตรงกลางสนามอยู่ข้างหน้าเซ็นเตอร์2ตัวนี่แหละ แม้จะมีกลางรับประกบกรูอยู่ก็ตาม ประมาณนี้ เป็นเหตุให้ Riquelme, Pablo Aimar, Rui costa และอีกหลายๆคนเล่นไม่ออก เหลือแต่เทพเพียงไม่กี่องค์เช่น Zidane ที่ BodyBalance+Technique ระดับพระเจ้า และ เช่นเดียวกันก็ทำให้เกิดอวสานของนักล่าประตู-ตาข่ายหรือ -หน้าจมูกไว -หน้ากรอบ6หลา -ดาวซัลโว ฯลฯ การจัดแบ่งประเภทย่อย ของหน้าจอมจบสกอร์ ได้ถูกแบ่งออกเป็น 3 แบบใหญ่ๆ คือ 1.คมและแข็ง นักเตะแต่ก่อนอย่าง VanBasten, Shearer, Nistelrooy และอีกมากมาย ซึ่งแต่ก่อนหน้าเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องมี Speed มากนัก ขอให้มี Strength อยู่บ้าง ก็เทพได้ อันนี้ก็คือหน้าเป้าสมัยก่อน จะเรียกว่าเป็น Poacher แบบ TargetMan ก็ได้ 2.คมและเร็ว - Gary Lineker, Owen, 3.คม-เร็ว-แข็ง แต่ไม่ถึงขนาดมีความคิดสร้างสรรค์ จ่ายบอลดี เช่น G.MullerหรือDrogbaช่วงพีคสุดๆ ***แต่ประเภทนี้ค่อนข้างจะคลุมเครือหน่อยและจะจัดหมวดหมู่ยาก เพราะนั่นจะทำให้จัดแบ่งพวกระดับพระเจ้า อย่าง Raul, Anelka, Henry ยากหน่อย คือพวกทีชราแล้วผันตัวไปเป็น Creative Forward ได้ แต่ในปัจจุบัน+ในFM ทำไมความหมายของ Poacher ได้ถูกจำกัดความให้เป็นเฉพาะข้อ2. คือ "กองหน้าที่มีทั้งความเร็ว Finishing สูงและ**ต้อง Dribbling ดีด้วย" ที่สำคัญต้องงกบอล ขี้เกียจ เก็บบอลและไม่Teamwork 55+ *แต่ในภาพ Messi มันเป็น Trequatista มากกว่าแค่นั้นเอง ทำให้ระบบหน้าเป้าคู่(2 Striker) ที่บางคนมีแต่ความเร็ว บางคนมีแต่ความถึก ตกงานกับทีมใหญ่กันเป็นแถบๆเมื่อ Speed ลดลง Strength หดหายก็พาเหรดกันออกไปจากทีมใหญ่ เพราะทีมในระดับสูงเริ่มที่จะไม่เล่น สูตร big man/little man กันอีกแล้ว เพราะสื้นเปลืองตำแหน่ง ทำให้ทีมใหญ่ในปัจจุบันมักมอบหมาย Role ใหม่ให้กองหน้าเป็น Advance forward หรือ Complete forward ด้วยเหตุผลทางด้านแทคติค คือ ช่วยให้พวกเขามีส่วนร่วมกับเกมมากขึ้น ไม่ใช่ยืนจังก้าเอาไหล่ทาบวัด offside trap ของแบ็คโฟร์อย่างเดียว ตัวอย่างในปัจจุบันสำหรับแฟนแมนยู นี่ก้คือเหตุผลที่ ถั่วน้อย ต้องนั่งข้างสนามรอนาที80 อย่างเดียวไง หรือโซลชานั่นเอง ทำให้เป็นเหตุผลให้ปีกตัดใน(Inside forward) บางรายได้อัพเกรดด้วยการไปเล่นเวทเพิ่มความแข็งแกร่ง และดันมาเล่นกึ่งๆหน้ากัน (หรือในFM2014 ที่จะมาถึงเราจะได้รู้จัก role ใหม่ คือ Flank Foward) เคสที่ชัดสุดก็คือ CR7 ทำให้นิสัยการจ่ายบอลคืนหลังหรือแบ็คพาส ความไม่งกบอลยังคงอยู่ด้วย หรือจะเป็นแบบปีกคู่เทพ Ribery-Robben/Reus-Gotze ที่สลับตำแหน่งนอกจากสลับข้างแล้ว มีสอดมาตรงกลางกันบ้าง (Shadow Striker) แล้วในปัจจุบันล่ะ เหลือใครกันบ้าง เราจะวัดจากอะไร?? ที่แน่ๆคือ 2 ค่าที่สำคัญที่ทุกคนรู้กันดี คือ ค่าพลังสำคัญ 1.การจบสกอร์(Finishing) 2.การหาตำแหน่งเมื่อไม่มีบอล(OffTheBall) ส่วนอีกค่าที่เป็นด้านจิตใจ อย่าง 3.ความนิ่ง-เยือกเย็น(Composure) ก็น่าจะรู้กัน และค่าสุดท้ายก็คือ 4.การอ่านเกม(Anticipation) หรือ IQ นั้นแหละ ถ้าเป็นกองหลังก็คือการดักทางบอล หรือค่าของประตูที่ใช้ร่วมกับการยืนตำแหน่ง ทำให้กองหน้าเราจะอ่านใจกองหลังเพื่อทำลาย offside trap หาช่องว่างได้ดีแค่ไหน *คหสต. คือค่านี้ก็อาจรวมกับค่าความมุ่งมั่น(Determination)ด้วยก็ได้ ค่าพลังที่ควรจะต่ำ 1.Teamwork ควรจะงกบอล (ไม่งั้นก็อดดาวซัลโว สิ) 2.Positioning สัมพันธ์ตรงข้ามกับ OffTheBall *ส่วนค่า Decisions นั้น อันนี้แล้วแต่มุมมอง เพราะจากประสบการณ์ที่เล่นมา จะมีผลกับแดนกลางและหลางมากกว่า หรือเป็นค่าตัดสินการจ่าย มากกว่าการยิงนั่นเอง วิธีการหาคำตอบ ผมก็เอาง่ายๆนี้แหละ ไม่ต้องถึงขนาดใช้ Scout ส่อง Hidden Attributes ดูค่าความคงเส้นคงว่า(Consistency) หรือ Importance Matches เพราะโดยส่วนตัวคิดว่ามันส่งผลต่อประเด็นด้านประสบการณ์ความเก๋าและForm การเล่นมากกว่า(ฟอร์มในขณะนั้นของFM แต่ละภาค) ที่ทีมงานประเมินมา เอาเป็นว่าเกินประมาณ12+ ขึ้นไปก็โอเคแล้ว ขั้นตอน 1.เพื่อที่จะหา Top10 ออกมา พลังขั้นต่ำในการ filter ของผม ที่จะใช้ตอนแรกเป็นดังนี้ และผลที่ออกมาได้ 12 คน *แน่นอน 2 ค่าแรกที่ส่งผลที่สุดต้องมากสุด รองลงมาเป็นด้านจิตใจ *ผมไม่เอาค่า Teamwork เข้ามารวมด้วยก็เพราะเดี๋ยวจะเป็นการใจร้ายตัดโอกาสให้กับหน้าสมัยใหม่อย่าง Benzema และ Falcao เกินไป ^^ **ทำไม ต้อง 17 ก็เพราะถ้าเป็น 16 ใน2ค่าแรก ท่านก็จะเจออีกหลายๆคนที่น่าสนใจไม่น้อย เช่น Henry, M.Gomez, Milito, Del piero, Rossi ซึ่งพวกนี้ก็จะเข้าข่ายว่าเป็นหน้า Creative มากกว่า เช่น Milito ผมถือว่าเค้าเป็นหน้าที่ทำได้ทุกอย่างเลยนะ Teamwork ดี จ่ายดีสร้างสรรค์ OK มิน่าล่ะถึงเป็นขวัญใจMourinho สมัยอินเตอร์ซะมากกว่า Eto ด้วยซ้ำ ไม่งั้นดึงมาเชลซีอีกรอบได้ก็ดึงมาแล้ว หรือ M.Gomez ที่ออกไปแนว Targetman มากกว่า (ปล.ไปเปิดดูเองนะ) 2.เพื่อที่จะตัดออกไปครึ่งหนึ่ง ค่าที่มีผล ก็คือการปรับความเยือกเย็น (Composure) ขึ้นไปเป็น 17 ให้มีฐานะเทียบเท่ากับ2ค่าแรก ผลที่ออกมาจึงเหลือ 6 คน ดังนี้!!!! 3.เมื่อจะทำให้ทั้ง 4 ค่ามีฐานะเท่ากันทั้งหมด จึงเหลือแค่เพียง 4 รายเท่านั้น 4.หลักการเดิม คือ กลับไปที่ 2ค่าแรกใหม่เป็น 18 = Top 3!!! 5.ฐานะความสำคัญเท่ากันหมดทั้ง 4 ค่า = 3 ก็เท่าเดิม... 6.ถึงจุดนี้เราจะประเมินยากแล้วล่ะว่าใคร สมควรได้ตำแหน่งไปครอง เพราะถ้า เพิ่ม/ลด ค่าได้ค่าหนึ่งออกไป เช่นเพิ่มจบสกอร์ไปเป็น19 (18/18/18) DiNatale ตกรอบ ซึ่งผมมองว่าดูจะเป็นการตัดสินเชิงตัวเลขมากไป ดังนั้นอีก 1 ค่าเงื่อนไขที่จะขอเพิ่มขึ้นมา คือ สมาธิ(Concentration) หรือ focus ในด้านจิตใจของผู้เล่น ซึ่งก็คือ การจดจ่ออยู่กับเกมได้ตลอด90นาที ไม่หวั่นไหวกับรูปเกมที่ตามหรือนำอยู่ เทียบให้เห็นภาพง่ายที่สุด ก็ให้นึกถึงว่ามันเป็น ค่าสภาพร่างกาย (Condition) ทางด้านจิตใจแทนนั่นแหละ ที่เป็นเปอร์เซ็นเลย คนมีน้อย ท้ายเกมก็สมาธิหลุดละ เป็นต้น **หรืออาจมีผลเชื่อมโยงโดยตรงกับ ความมุ่งมั่น(Determination) ด้วย ซึ่งโดยส่วนตัวผมมองว่าค่านี้เป็นค่าที่ค่อนข้างคลุมเครือที่สุดในเกมสำหรับผู้เล่นที่ไม่ใช่กองหลังหรือประตู เพราะเอนๆไปทางค่าพลังลับ hidden attributes หน่อยๆ หรือ แตกไปทางนิสัยการเล่น (Prefered moves) ก็ได้ แต่ตรงสุดก็ควรเป็นด้านจิตใจนั่นแหละ ไม่งั้นเค้าจะใส่มาช่องนี้ทำไม -*- และค่านี้เป็นค่าที่เพิ่มใน Training ยากมว้ากกก (รบกวนขอคำแนะนำจากguru training ด้วยละกัน) ผลสรุป เงื่อนไขที่เป็นจุดชี้วัดสำคัญในความเห็นผมคือค่าพลังนี้ เพราะ ผมว่าเป็นลักษณะเด่นพิเศษของ Hunter และ Raul เองมากๆ และนี่ก็คือสาเหตุว่าทำไม Schalke ในปี09/10 ที่ 2 ดาวยิงที่คมที่สุด ได้มาเล่นเป็นพาทเน้อร่วมกัน ได้ทะลุ UCL ไปถึงขั้นเตะกับแมนยูมาแล้ว และแม้แต่ระดับมหาโคตะระเทพเจ้า Messi ยังมีแค่ 14 ในขณะที่Hunter 19 ซึ่งจะ max อยู่ละ นี่แหละ อาจจะเป็นคำตอบในชีวิตจริงก็ได้ที่ Messi ยังไม่สามารถเป็นตัวพลิกเกมได้ในสถานการณ์บางเกมที่เล่นไม่ได้ดั่งใจมาตลอดทั้งเกม โดนประกบทั้งเกม ...... ยังพิสูจน์ตัวเองในระดับชาติไม่ได้..... ******คำเตือน!! สำคัญฝุดๆ****** ข้อ7. นี่แล้วแต่ความเชื่อมากๆ เพราะบางคนอาจจะแคร์ค่า First Touch มากกว่าแต่ที่ผมไม่รวมไปด้วยเพราะมันเป็นค่าพื้นนนนนนนนนนน ที่สุดของนักฟุตบอลระดับเทพ ไม่ว่ากลาง ปีก หน้า ก็ควรจะมีเกิน 16+อยู่แล้ว และจุดอ่อนที่สำคัญของหน้าประเภทนี้ คือ ตามที่คุณ Final ว่าไว้เลยคับ หน้าประเภทนี้ จะไม่เวิคเป็นอย่างยิ่งลย ถ้าเราเล่นแผน 4-3-3 ที่เป็น 4-1-2-2-1 หรือแผนที่ไม่มี playmaker (AMC Support) ยืนอยู่ข้างหลัง เพราะบอลจะไม่ถึง แล้วถ้าคนไหน Workrate+Teamwork ต่ำ ก็จะยิ่งไม่มีส่วนร่วมเลย และถ้าหากว่าปีกด้านข้างดันเป็น inside forward ทั้งคู่ มันจะเกิดปัญหาให้พวกข้างหน้า 3 คน แย่งกันยิงอีก *แล้วประเด็นคือ คุณภาพของ AMC อาจจะต้องถึงระดับ Ozil Cesc Isco เลยด้วยซ้ำ เพราะ AMC ธรรมดาอาจไม่ตอบสนองได้เพียงพอ! แต่ถ้าเล่น 4-4-2 หรือระบบหน้าคู่ ก็ให้เซ็ตเป็น Deep-lying (Attack)/Poacher และควรจะต้องมีหน้า Support ยืนอยู่ข้างๆ ตามสเต็ป อย่าได้เป็น Attack ทั้งคู่เป็นอันขาด เพราะจะทำให้ off the ball ไร้ค่าไปทันที ส่วนสิ่งที่วิจัยเล็กๆนี้ยังขาด คือการวัดพวก นิสัยในการการเล่น (Preferred Moves) และทัศนคติ Personality ในแท็บ information ที่ก็มีผลเหมือนกัน ซึ่งว่างๆจะมาเติมต่อครับบบบ ปล.2 จุดประสงค์ คือจะมาโปรโมต Hunter ที่ถูกลืม ผู้น่าสงสารถูกมาดริดทอดทิ้ง มิลานไม่แล ปล.3 Hunter ควรยืนหน้าเป้าให้ Holland มากกว่า Persie ท้ายสุด เพื่อนๆก็คงจะเห็นนักเตะหลายๆคนที่เราลืมนึกถึงไป เพราะมัวแต่หาใน scout เพลิน และอาจจะพลาด Huntelaar PA แค่ 162 เอง Di Natale บางคนมองว่าอายุเยอะ แต่หลังจากเล่น FifaOnline เลยนึกขึ้นได้ 55555+ เทพฝุดๆ Defoe ใครเล่น DB ใหม่ก็น่าสนนะ น่าจะขายนะ เทพDudu นี่ของจริงนะ! ส่วนใครอยากลดสเป็คลงไป ก็ลดๆไปนะ อย่าง Fred , Aduriz ที่อยู่บิลเบาก็เวิค ใครเล่นทีมกลางๆจัดไปได้ และก็หวังว่าทั้งหมดนี้ก็จะเป็นแนวทางในการปั้นเด็กเกิดใหม่ให้กับใครหลายคนด้วย ให้มีคุณสมบัติ ของการเป็นดาวซัลโวลีก โดยไม่ต้องใช้แผนเทพมากก็ยิงได้ และก็หวังว่าคงเป็นประโยชน์ต่อการดูบอลในโลกฟุตบอลจริงด้วย ให้เราได้ตระหนักว่าความฉลาดในการเล่นที่มีผลต่อ การหาตำแหน่ง ของกองหน้าเนี่ย มันเข้าขั้น Rare มากๆแล้วในยุคนี้ เวลาเราดูบอลเนี่ยเราจะเห็นว่า Nistelrooy มันไม่เห็นจะวิ่งจะอะไรเลย ทำไมโหม่งโล่งๆ ตลอด ทำไมPippoวิ่งงอตัวเป็นกุ้งสอดผ่านหลังไปยิง6หลาง่ายจัง ไอสิ่งนี้แหละมันแค่พริบตาเสี้ยววิเด็ดซะยิ่งกว่า ความเร็วความเร่งซะอีก (หรือเพราะเดี๋ยวนี้กองหลังฉลาดขึ้นแทน ไม่รู้นะ555+) สุดท้ายปิดด้วยคลิป idol ผม สมัย ajax ตั้งแต่ Persie ยังยิงนกแจกบอลให้แฟนๆอยู่เลย http://www.uefa.com/trainingground/skills/video/videoid=789515.html อ้างอิงและขอบคุณ ขอบคุณ Guide ที่เพื่อนๆมาช่วยกันแจงรายละเอียดค่าพลังแปลไทยทุก guide เช่น http://www.fm-thai.com/board/index.php?showtopic=114201 ขอบคุณFifa online ที่ทำให้ผมตั้งคำถาม กับเทพ Di natale และ Hunter ขอบคุณ http://www.zonalmarking.net/ เว็บไดอาแกร็มแผนการเล่นใหม่ๆ Edit เรื่อยๆจ้า...
-
D.Villa 2
-
ใครที่เล่นมาตั้งแต่ FM08 ก็คงจะเคยผ่านๆกันนะครับ ตั้งแต่สมัย fm-britain.co.uk ยังเป็นแหล่งรวมนักคิดค้นแทคติคที่เน้นแทคติคที่เน้นความเสมือนสมจริงอยู่ ผมจึงคิดนำกลับมาใช้ใหม่ แล้วมันก็ดันเวิร์คระดับนึงเลย Style การเล่นจะออกมาแนวคล้ายๆ Italy ชุดของ Lippi แชมป์ WC 2006 นะครับ กลางแน่นครองบอล ไม่หวือหวามากแต่ได้ความชัวร์ จุดเน้นของแผนนี้ก็คือผสมผสานระหว่างปรัชญา Very Fluid และ Fluid เข้าไว้ด้วยกัน โดยที่ 2-6-2 หมายความว่าแบ่งตาม Mentality เป็น 3 โซน โดย 2 แรก คือพวกที่ Cover หรือตำแหน่งที่จะล้วงลงมารับบอลต่ำ ซึ่งจริงๆแล้วควรเป็น DCs ตัวคู่ แต่ว่าผมนำมาใช้กับ 4-4-2 ที่ปัญหาของมันคือ ไม่มีกลางรับ ส่วนแดนหน้าก็พึ่งเกมจากปีกมากเกินไป เลยให้ DC 1 ตัวเป็น Cover และหน้า 1 ตัวเป็น DLF/CF/T ตัวซัพพอท ซึ่งดูเหมือนธรรมดาแต่มีผลอย่างมากต่อรูปเกมและ Shape ไฮไลท์ของแผนนี้จริงๆอยู่ที่ โซน 6 คนตรงกลาง ที่จะเล่นแบบไปไหนไปด้วยกันหมดยกขบวนกันไป ไม่ว่าจะรับ (Team Defense) หรือบุก ทำให้ options ในการจ่ายเยอะกว่าพวก Balance หรือ Rigid ที่เน้นการทำงานเป็นคู่ๆตาม Duty และ Role มากเกินไป อีกทั้งยังช่วยแก้ปัญหาของ Very Fluid ที่คนไม่เลือกใช้กันคือมันจะไปกันทั้งทีมมากเกินไป บุกมันส์ก็จริงแต่มักโดนสวนกลับหงายตลอด แทคติคนี้ก้จะมาช่วยแก้รูรั่วตรงนี้ Team Instruction Very Fluid อย่างอื่น Default หมด ใครที่เล่นทีมระดับสูงๆ ให้ใช้ Passing Shorter และถ้ามีแนวรุกระดับโลกมากๆ Creative Freedom Expressive ไปเลย Control สามารถปรับเป็นแบบอื่นได้ตามใจชอบ แต่คุณต้องมาเลื่อนช่อง Mentality เองด้วยSliderทุกครั้งที่ปรับ โดยถ้าเป็น 4-4-2 ปรับตำแหน่งเดียวคือ MCa โดยหลักง่ายๆ คือ ความห่างระหว่าง 2-6-2 คือ 2 ช่อง หรือ 3 ช่อง ทำไมไม่ยกปีกขึ้นสูงเป็น AMRL จะได้บุกมันๆ ? เนื่องจากต้องการเน้นให้ FBs กับ MRLs ได้เล่นใกล้ชิดกันมากที่่สุด และประสานงานเป็น Passing options ให้กับ MCs ทั้งคู่ได้ง่าย บอลไม่ขึ้นหน้าเร็วเกินไป เกมไม่ตันง่ายๆ จริงๆก็ยกขึ้นได้หากต้องการประตูตอนท้ายเกม แต่ไม่แนะนำเพราะเกมรับจะมีปัญหา กลางโดน Overload ง่ายเกินไป ทำไมปีกเป็น WM แทนที่ Winger ? ไม่ต้องการให้เลี้ยงบอลมากเกินไป เพราะผมมีความเชื่อว่าการเลี้ยงบอลมากน้อย มันติดมากับ PMs ของแต่ละคนอยู่แล้ว และที่สำคัญคือต้องการให้ปีกจ่ายบอลไวๆ ตัวเองจะได้มีพื้นที่สอดหาช่องไปยิงประตูบ่อยๆ อันนี้จุดเด่นจริงๆ ปรับแต่งอื่นๆ [*]MCa เป็นได้ทั้ง DLP AP และ CM ตามสไตล์ของนักเตะ [*]MCd ได้ทั้ง CMd และ BWMd อีกอย่างถ้าต้องการบุกมากๆ ปรับให้ไปเล่นกลาง Support คู่ได้ [*]DR/L ข้างที่เป็น Support สามารถปรับเป็น Automatic ได้ หากท่านมันใจว่าเกมรับแน่นอยู่แล้ว [*]DLF ปรับให้เป็นได้ทั้ง CF T และ TM Support ตามคุณลักษณะนักเตะ Shouts แนะนำเพิ่มความชัวร์ตอนเริ่มเกมหรือตอนพึ่งเริ่มใช้ใหม่ๆ Drops Deeper และ Play Out of Defence จนกระทั่งคุมเกมได้แล้ว ถ้าคุมไม่ได้ปรับไปเล่น Standard หรือปรับแผนเป็น 4-4-1-1 เด๋วคำอธิบาย 4-4-1-1 จะตามมาอีกรอบครับ แต่ใครเข้าใจก็เอาไปใช้ก่อนเลยจ้า คำแนะนำเบื้องต้น คือ [*]ถ้าเจอเกมนอกบ้านกับทีมแกร่งมากๆ ให้ใช้ 4-4-1-1 AM ไปก่อนหรือถ้ามี AP ที่เจ๋งจริงก็ใช้ AP ไป [*]ส่วน Treq ไว้สำหรับเจอ DMC ที่ประกบติด AMCของเราจนเกมไม่เดิน จะปรับ Treq ให้เป็น CF/DLF Support ก็ได้ทั้งนั้นครับ สุดท้ายขาดไม่ได้ Credits : zagallo http://forums.fm-bri...work-in-fm2009/ DOWNLOAD http://www.mediafire.com/?j3anmaz7xw7xr4p
-
ที่เห็นๆกันบ่อยๆ แพทล่าสุด แค่เปิดตลาตอนเริ่มเกม นอกจากของตาย Fellaini แล้ว มี Sandro ย้ายไปแมนซิ Cabaye ย้ายไปแมนยู Ben Arfa ย้ายไปเชลซี ยูเว่ ที่ฮาสุด คือ ยูเว่ฤดูกาล2 ทั้งที่มีกองหน้าเต็มทีมทั้งกวายาเรลล่า Vucinic แล้วจะมี Llorente ย้ายไปสมทบอยู่แล้ว มันยังจะซื้อ Falcao ไปอีก แมร้งไม่รู้จักพอหรือเซฟเกมไหนที่ Spurs เทพๆ ชอบเหมา DM ระดับโลกเอาไปไว้ทีมมันหมดเลยส่วนผู้จัดการก็โดนปลดอย่างง่ายไป Jurgen Klopp ปลิวภายในครึ่่งฤดูกาลแรกหลัง Dortmund แพ้ติดๆกันไม่กี่นัด Allegri เด้ง Villas Boas เด้งหลังครึ่งฤดูกาลแรก W7 D6 L4เซงกับความแปรผันของเกมที่ง่ายเกินไป ทีมบางทีมไม่เหลืออะไรเลย และก้ตกชั้นเมื่อผ่านไป2-3ฤดูกาลทำไมภาคก่อนๆไม่เห็นจะเปลี่ยนอะไรง่ายขนาดนี้เลย
-
วิธีปรับพลังนักเตะโดยใช้ mini FMRTE (สำหรับผู้ไม่รู้)
PedNewCastle replied to mAn{C}hEStER's topic in FM Tools
แก้เจ็บไม่ได้อยุ่ดี มันเป็น True/False ทำไมท่านบอกแก้ได้ แก้ได้แต่ตัวเลข -
วัดกันที่ Flair กับ Creativity ฮะ ไม่เกิน 15 นี่อย่าได้ใส่เป็น AP เลย
-
editor ไง อิอิ แถมมากับตัวเกม แต่ส่วนตัวผมจะแก้แค่นักเตะที่ PA -9 ให้เป็น Fixed ไปเลยตามความชอบ เช่น isco อยากให้เทพสุดก็ PA180 ไปเลย ตัวที่ยังไม่ดัง หรือเราไม่ชอบก็ให้ 160 ไป ประมาณนั้น อีกอย่างก็จะแก้ค่า injury proness หรือโอกาสการบาดเจ็บ (ยิ่งใกล้20ยิ่งโอกาสเจ็บเยอะ) ก็จะแก้พวก pato persie ที่กระดูกยุงให้ลดลงอะผมใช้แค่นี้จริงๆอะ อย่างอื่นใช้แล้วไม่หนุก
-
ได้ 29.5m ซีซั่นแรก