Jump to content

Recommended Posts

Posted (edited)

เหลียวหลังแลหน้าไปกับการเปลี่ยนแปลงของแผนการเล่นและแทคติก ( A briefly Changes  in Football Formations  and Tactics in  Decades ago) 

 

 

 

บทนำ

   *บทความนี้เป็นบทความกึ่งFM ที่ไม่ได้เป็น Guideline โดยตรง ออกไปทางฟุตบอลทั่วไปมากกว่าด้วยซ้ำ  แต่ก็หวังว่าจะเป็นภาพใหญ่ๆให้เพื่อนๆได้เห็นที่มาที่ไปของแผนการเล่นในอดีต  และหวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อการนำไปปรับใช้กับตัวเกมได้บ้างไม่มากก็น้อย

 

บทความนี้เกิดขึ้นมาได้จากมาจากคำถามที่ผมสงสัยใคร่รู้มานาน  ว่า

 “ทำไมเกมฟุตบอลในยุคปัจจุบันหรือที่เรียกว่าฟุตบอลร่วมสมัย (Contemporary Football) จึงได้แตกต่างกับอดีตหรือยุกคคลาสสิค*  ยิ่งนัก?”

 

จนทำให้เกิดผลกระทบกับการดูบอลทั้งในแง่อรรถรสความสนุกจากการดูที่แตกต่างจากเดิม,  การยิงประตูแบบดราม่าพลิกเกมระหว่างทีมใหญ่ในแมตช์ใหญ่มีน้อยลง , สไตล์นักเตะที่ชื่นชอบไม่เหมือนเดิม ซึ่งผมเชื่อว่าหลายๆคนที่คลั่งไคล้และเซียนบอลทั้งหลาย  คงจะรู้อยู่แล้วล่ะว่า  รูปเกม  ที่มันเปลี่ยนมาจากจังหวะการเล่นที่รวดเร็วมากขึ้น, การเคาน์เตอร์แอ็ตแท็ก และต้องการความแข็งแกร่ง/ความเร็วมากขึ้น(more physical) แต่เราก็จะสังเกตได้ว่าในช่วงยุค 90s-2000s  มันก็เปลี่ยนไปจากยุค 80-90ต้นๆอยู่แล้วนี่ ความเร็วมากขึ้น แข็งแกร่งมากขึ้น    เอ้า! แล้วยุคเมื่อทศวรรษที่แล้วมันต่างกับตอนนี้ยังไงหว่า?

ดังนั้นไอ้ที่ปัจจุบันนี้เกมมันเปลี่ยนไปคือการนำระบบกลาง 5 ตัว/การนำกองกลางตัวรับเข้ามาเป็น keyman สำคัญของการปั้นเกม (build-up play)  จุดเดียวเลยใช่มั้ย??  ถ้าเราพูดอย่างนี้ก็อาจจะทำให้เกิดการตีความแบบเหมารวมว่า  ผู้จัดการทีมเด๋วนี้มันป๊อดแหกเล่นเน้นผลการแข่งขันมากเกินไปจริงรึเปล่า?   หรือเป็นเพราะความเร็วเกมและความหนักหน่วงของเกม(ในแง่ความอึด) ทำให้นักเตะต้องใช้  fitness/physical  มากกว่าเดิม จะขี้เกียจไม่ได้อีกแล้ว หรือเป็นเพราะ 2 ปัจจัยร่วมกัน หรือทั้งสองที่กล่าวมายังไม่ใช่ปัจจัยหลัก หากแต่มีปัจจัยอื่นๆเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย??

 

*ยุคคลาสสิค ข้างบน ในความหมายของผม คือ ยุค 1990s+  ->2000s ต้นๆ ซึ่งเป็นคลาสสิคในความหมายเชิงจิตใจของผม  แต่ตามหลักแล้วต้องเรียกยุคนี้ว่าเป็นยุค (Modern Football)   เนื่องจากผู้เขียนอายุ20ต้นๆ  ดูยุค70-80sไม่ทัน จ้า!

 

  จากคำถามหลัก  ได้นำมาสู่คำถามที่ผมคิดว่ามันน่าจะมีจุดร่วมอะไรบางอย่าง  สามารถแตกประเด็นคำถามสำคัญได้เป็น  ข้อ 3 ย่อย ดังนี้ 

1.เพราะเหตุใดฟุตบอลในสมัย หลัง 2000s) ระบบการเล่น 4-4-2 จึงได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในช่วงที่ผู้เขียนเริ่มหัดดูบอล  จนนึกไปว่าหากดูบอลผังการเล่นก็ต้องเป็น 4-4-2 หรือ 4-4-1-1 เท่านั้น แล้วทำไมในปัจจุบันผังการเล่นนี้จึงเริ่มเสื่อมถอยจากบรรดาทีมใหญ่ ช่วงจุดเปลี่ยนสำคัญอยู่ที่ไหน?

2.ทำไมนักเตะระดับโลก หรือบรรดาแคนดิเดตที่ได้รับ บัลลงดอร์/เวิลด์เพลเยอร์  จึงถูกจำกัดวงแคบอยู่เพียง 2  สตาร์+1  Messi and CR7  และมักจะมี+1มาอีกคนแต่แค่ประดับๆไปงั้น   ทั้งที่ในช่วงทศวรรษที่แล้วหากเอ่ยถึงสตาร์ดัง  Zidane Figo Totti Del Beckham RonaldoR9  ฯลฯ  ทุกคนล้วนอยู่ในระดับเดียวกันและเด่นได้หลากหลายตำแหน่ง?

3.ทำไมฟุตบอลระดับทีมชาติ ตั้งแต่ช่วงหลังปี 2002 (บอลโลก) หรือตั้งแต่ยูโร 2004 เป็นต้นมา  ดูแล้วน่าเบื่อมากขึ้น?

 

4....

5....

 

 

นิยามที่ควรรู้   (for non-FMers)

1.ผังการเล่น (Formation) หรือแผนการเล่น ,ไดอะแกรม คือระบบระบุตำแหน่งของนักเตะในสนาม เช่น 4-4-2, 4-3-3  หรือบอกตำแหน่งนักเตะอย่างหยาบๆ ว่ามี กองหลัง กองกลาง กองหน้า อย่างละกี่คนในการจัดทีมแข่งขัน

2.แทคติค (Tactics) กลยุทธในการเล่น  ซึ่งจะทำงานอยู่ในผังการเล่นอีกที  อย่างเช่น 4-3-3 ในบ้านกับนอกบ้าน เวลาเล่นในบ้านปีกจะดันขึ้นสูงเสมือนหน้า  นอกบ้านจะออกมาแนวๆ 4-5-1 เป็นต้น หรรือกล่าวได้ว่า Tactic เป็นสไตล์การเล่น ส่วน Formation คือรูปร่าง โครงร่างหลัก

 

 

มองอดีต

สิ่งที่ผมคิดว่า เราต้องทำความเข้าใจเป็นอันดับแรก คือ การเหลียวหลังไปมองถึงยุค Classic (70-80s+) ซะก่อน  เพราะเราจะเข้าได้ใจถึงเหตุผลเบื้องลึกของการเปลี่ยนผ่านมาสู่ยุคที่ 4-4-2/4-4-1-1 ครองอำนาจในวงการลูกหนังโลก (หรือแผนใดก็ตามที่นิยมหน้าคู่ และ/หรือ ไม่นิยมใช้กองกลางตัวรับ )

 

ลักษณะเด่นของแผนการเล่นในอดีต คือ 

1.การครองพื้นที่แดนกลาง  (Midfield Domination) สำคัญที่สุด เอ้าคุ้นๆแฮะ ก็เหมือนปัจจุบันดิ้? แต่ข้อต่างคือ  focus  และความหลากหลายจะต่ำกว่า   จะเน้นการขึ้นเกมจากตรงกลางสนาม เจาะจากตรงกลาง  เป็นพื้นที่แรกที่จะบุกขึ้นไป ดังนั้นเป็นการบีบให้อีกฝ่ายใช้หลัง 3 ด้วย หรือไม่ก็เป็น Sweeper /Libero กล่าวในแง่ผังการเล่น คือ  ระบบ 3-3-3  (+2วิงแบ็ค,+1สวีปเปอร์หรือ+1 กลางรุก) ซึ่งแตกมาได้เป็นแผนจำพวก  1-3-3-3 Totaalvoetball, 3-4-1-2 Germany, 3-5-2 ,3-2-2-3WM โดยแกนของการเล่นจะเป็นระนาบเดียวกัน (Flat line)ทั้งหลัง-กลาง-หน้า,  หากต้องการเกมด้านข้างเพิ่มเติมก็จะมี Wingback  หรือเป็น 4-3-3 แฟลตไลน์

 

Posted ImagePosted Image

 

2.ระบบ Man-marking แบบเก่าของแผงหลัง (รวมถึง Catenacio)  ที่ตอบสนองกับระบบหน้าคู่และหน้า3 (หน้า3จริงๆ ไม่ใช่ปีกกึ่งหน้า)   หรือเมื่อเจอทีมที่มีกองกลางตัวรุกหมายเลข10  ก็จะต้องนำกลาง 1 ตัว หรือ หลัง 1 ตัวขึ้นไปประกบ

กล่าวคือ พื้นที่รอยต่อระหว่างกองหลังและกองกลาง หรือกลางรับนั่นแหละ ยังหา กลางรับอาชีพได้ยาก จนเราแทบไม่เห็นในยุคก่อน เพราะมักจะถูกแย่งซีนไปแล้วโดย Libero

-2.1  หากไม่ได้เล่นหน้า 3 ตัว หน้าที่ข้างสนามตกเป็นหน้าที่ของ Wingback  ทั้งหมด!

-

-

 

 

ดังนั้น คำถามที่ว่าทำไมแต่ก่อนพวกเขาถึงไม่นิยมใช้กลางรับกันล่ะ? อะไรคือเหตุผลเบื้องหลัง 

 

  ผู้เขียนคิดว่าเนื่องจากมิติของเกมด้านข้างยังคงถูกจัดลำดับความสำคัญอยู่ในลำดับที่รองลงมาจากการเจาะพื้นที่ตรงกลางอยู่ รวมถึงการมีหน้า 3 ยืนอยู่ข้างหน้าอยู่แล้วหรือมีวิงแบ็คก็เพียงพอแล้ว   ดังนั้นตรรกกะการนำกลางรับเข้ามามีแต่จะส่งผลให้เกมรุกไม่ไหลลื่น เนื่องจากพื้นที่ครึ่งสนามข้างหน้าจะมีตัวรุกไม่เพียงพอ  เช่น แผน 3-5-2 (3 เซ็นเตอร์,  3 wingbacks+กลางรับ   , 2 กลาง,    2 หน้า)

 

  จุดอ่อนที่สำคัญที่สุดของแผนการเล่นประเภทนี้  จึงเป็นการไม่ตอบสนองต่อเกมบุกทางด้านข้าง หรือ แผนกองหน้าเดี่ยว ที่มีปีกอยู่ริมเส้นจริง  เพราะจะทำให้กองหลังที่อัดแน่นอยู่ 3 ตัวตรงกลางถูกดึงออกไปจากปีกด้านข้างจนเกิดพื้นที่ว่างจนเหลือหลังแค่ 1 คน  รวมถึงความแน่นอนของการประกบจาก wingbacks ที่ต้องคอยเติมเกม ไม่สามารถจะประกบปีกอีกฝั่งได้ตลอด

 

 

 

การมาของ 4-4-2 (Modern 4-4-2)

อ้าวววววว  ที่กรูรู้มา   4-4-2  มันก็แพ้ทาง back3 อยู่แล้ว  ไม่ใช่หรอกหรอ!!   ทำไมถึงแจ้งเกิดได้ล่ะ??

 

เหตุผล คือ แนวโน้มของการใช้พื้นที่ในสนามเปลี่ยนไป จากการเจาะกลาง (Through the middle) มาเป็นแบบผสม  (Mixed/Balance) หรือออกข้าง(Down Flanks) แทนเพื่อให้การขึ้นเกมหลากหลายเดาทางลำบากขึ้น 

 

กองหลัง

  เพราะว่าระบบ back4 สมัยก่อน มีแนวคิดมาจากกานเน้นเกมรักเป็นหลัก! กล่าวคือตำแหน่ง Fullbacks ทั้ง2ฝั่งในสมัยก่อน ได้ถูกคิดค้นขึ้นมาแก้ทาง เมื่อเจอ หน้า 3 เท่านั้น  จุดประสงค์ไม่ได้ต้องการให้พวกเขาเติมขึ้นหน้าแบบ wingback ดังนั้น 4-4-2 จึงได้ถูกอัพเกรดขึ้นมาในช่วงยุคกลาง 90s  เกิดตำแหน่งใหม่ที่เรียกว่า Attacking-Fullback  ที่อย่างน้อยจะต้องมีข้างใดข้างหนึ่งเติมขึ้นไปช่วยปีกเสมอ  เพื่อ overload พื้นที่ด้านข้าง และนี่ก็เป็นจุดจบของ  wingback และระบบ back3 ไปเลยช่วงหนึ่ง   กล่าวคือข้อดีของ Back4 แบบใหม่ที่นอกจากจะสามารถจัดการกับหน้า3ตัวได้แล้ว  ยังสร้างมิติเกมรุกได้อีกด้วย

 

กองหน้า

  การเกิดขึ้นของหน้าต่ำ Deeplying-Forward  หรือหมายเลข10ปลอม  หรือพูดง่ายๆ คือTrequartista  แบบ False 10   เช่น R.Baggio, Del Piero, Totti ที่ในแง่ผังการเล่นพวกเขาถูกจัดว่าเป็นกองหน้ามิใช่กองกลาง เช่น ใน 4-4-2 หรือ 4-4-1-1 ที่ 1 นั้นไม่ใช่กลางนะ!  โดยเวลาเล่นจริง มีอิสระการเล่นหรือ Free Roaming  ที่ไม่เหมือนกับ Playmaker ที่ยืนเป็นแกนกลางของการบุก ด้วยเหตุเหล่านี้ ระบบback3 จึงถูกรุมล้อมจนแทบจะสูญพันธุ์ไปเลย...

  จึงเป็นเหตุให้ว่าทำไม 4-4-2/4-4-1-1  ในยุค-2000s  ถึงตอบโจทย์ได้ทุกอย่าง จนถูกกล่าวว่าในแง่ผังการเล่นเป็นรูปทรง (shape) มาตรฐานให้กับแผนการเล่นอื่นๆ  โดยสามารถแบ่ง ออกไปได้เป็น 20 ผังย่อยๆ   กล่าวคือ ทำไม 4-2-3-1 ที่นิยมในปัจจุบันจึงเป็น subset ของ 4-4-2 ในสมัยนั้น

  เคสที่จะยกมาเป็นตัวอย่าง คือ  Arsenal ในยุค Bergkamp ที่ใช้ Formation นี้มาจนถึงยุคไร้พ่าย รวมถึงแมนยูยุคปลาย Cantona  ต้นเด็กป๋า Beckham,Giggs,Scholes โดยที่ Cantona/Bergkamp จะทำหน้าที่เป็นหน้าต่ำใน 4-4-1-1กึ่ง4-4-2   และจะเป็น 4-2-3-1 ก็ต่อเมื่อปีกดันขึ้นสูงเมื่อต้องการสกอร์ กล่าวคือสิ่งที่แตกต่างกับปัจจุบันก็คือยังเป็น Classic Winger  ที่ยังคงครอสบอลอยู่  แต่ดันขึ้นสูงนะ จึงเรียกได้ว่า 4-2-3-1 เป็นเพียงการปรับสไตล์ของ 4-4-2 โดยธรรมชาติ (natural conversion) มิใช่การปรับตำแหน่ง Position หรือหน้าที่ใดๆ

 

กองกลาง

เมื่อ Focus ไม่ได้เป็นการเจาะกลางแต่เพียงอย่างเดียว  ทำให้กลางจ่ายบอล (Passing Midfielder/Specialist) ที่ส่งแม่นระดับพระกาฬอย่าง Pep Guardiola, หรือ Pirlo ช่วงInter  และอีกหลายๆคน  แทบจะอยู่ไม่ได้ในช่วงนี้จนรายแรกต้องไปขุดทองทั้งที่ยังไม่พ้นช่วงพีค    ก็เพราะว่าความแม่นไม่ได้จำเป็นขนาดนั้น   มีปีกคอยช่วยด้านข้างอยู่แล้ว เท่ากับว่าการพาสบอลแม่นกลายเป็นส่วนเสริม-Bonus  ส่วนสิ่งที่จำเป็น คือ การเป็นกลางสารพัดประโยชน์ แท็คได้ ดุดันได้ จ่ายได้ เติมเกมได้  ที่เราเรียกว่า Box-to-Box นั่นเอง อย่าง  Viera, Davids, Keane-Scholes , Ballack  ฯลฯ

 

หรือในอีกแง่หนึ่ง 4-4-2 ได้ทำให้เกิดปรัชญาแบบ  ระบบ Partnership/Band of Twos และระบบแบ่งแยกหน้าที่ ที่ในกรณีนี้กลางทั้ง 2 ตัว ถ้าไม่สามารถหา Box-to-Box ทั้งคู่ได้  จะต้องมีตัวใดตัวหนึ่งเป็น Destroyer/Ball-winning  ส่วนอีกตัวอย่างน้อยจะต้องทำหน้าที่ได้ 2 อย่าง คือ Passer+Creator แล้ว Creator คืออะไร?  ครีเอเตอร์คือกลางที่ยังสามารถสร้างสรรค์โอกาสจากทักษะของตัวเองได้ ยังไปกับบอลเองได้บ้าง  มีสปีดระดับหนึ่ง จริงๆแล้วก็คือกลางทั่วๆไปน่ะแหละ เช่น Fletcher ดังนั้นเมื่อเป็นเช่นนี้ Pep และ Pirlo จึงตกระกำลำบากทันที

Band of Twos ในตำแหน่งอื่นๆก็เช่นเดียวกัน  คือ การประสานงานระหว่างหน้าต่ำ-หน้าเป้า, ปีกซ้าย-ขวาแบ็คซ้าย-ขวา, กองหลังคู่

 

*ในกรณีปีกนั้น ในยุค80-90s ก่อนหน้านั้น หรือยุคอิงลิชฟุตบอลสมัยก่อน ถ้า เราจะเรียกให้ถูกจริงๆ ไม่ใช่ปีก  หากแต่เป็น  Wide-man/midfield ที่ไม่ได้วิ่งขึ้นสูง  แต่เน้นยืนเปิด  ทำให้เกมรับแน่นหนาด้วยดับเบิ้ลมาร์กกิ้ง   ที่ชัดสุด คือ Beckham,ปีก Italy ชุด WC2006, ,Ramseyบางเกม  

 

 

สรุป

  แก่นของ 4-4-2 แท้จริงแล้วไม่ใชเพียงผังไดอะแกรมที่ออกมาเท่านั้น แต่ได้รวมถึงความหมายในแง่ปรัชญาการทำทีมและแทคติคเป็นประเด็นหลัก   ที่ต้องการก้าวพ้นระบบเดิมที่ยึดติดกับ หน้ากลางหลัง (3-3-3) ไม่ยืดหยุ่น-ตายตัวเกินไป  หรือถ้าหลัง4 ก็จะยึดติดว่าเป็นแผนอุดเท่านั้น   โดยการเพิ่มอิสระการเล่นให้กับ fullbacks และระบบ Partnership   ได้ทำให้ความต้องการของคุณสมบัตินักเตะแต่ละตำแหน่งเปลี่ยนไป  Sweeper/Libero สูญพันธุ์, Wingbacks ต้องผันตัวลงต่ำ,

และข้อสังเกตที่สำคัญที่สุดดดดดด  คือ

***กองกลางตัวกลาง  ได้กลายเป็น ตำแหน่งสารพัดประโยชน์-จับฉ่ายที่สุดในทีม และเป็นเหตุให้ คำว่า “จอมทัพ”  สำคัญมากในยุคนั้น

 

 

 

เริ่มเห็นข้อแตกต่างมั้ยครับเพื่อนๆว่า  เอ๊ะ  แล้วทำไมปัจจุบันมันกลับกันล่ะ   เมื่อ กองหน้า ได้กลายเป็นตำแหน่งที่ต้องสารพัดประโยชน์ที่สุดในทีม  (All-in-One, Complete Forward/Attacker)  ทำได้ทุกอย่าง เช่น Messi, Ronaldo  แทนที่ระบบพ้าทเน่อและระบบแบ่งแยกหน้าที่ 

ขณะเดียวกันกองกลางแบ่งแยกหน้าที่กันมากขึ้น ซึ่ง คือ  ระบบกลาง 3 ตัวแบบTriangle นั่นเอง

 

หรือแม้แต่เราก็จะเห็นภาพในอดีตด้วยว่า  สมัยก่อนก็มี Libero ที่ทำได้ทุกอย่าง เช่นกัน.....

 

หรือแม้แต่ปัจจุบันได้ลามจนไปถึง กลางรับ ที่ทำได้ทุกอย่าง...   เช่น Busquets, Schweiny, Carrick

 

และเทรนด์ใหม่ตอนนี้  2 ตำแหน่ง คือ

1.inverted fullback หรือฟูลแบ็คตัดเข้าใน เช่น L.Baines,  และ Complete wingback   ที่จะมาใน FM14 (ยังงงอยู่)

2.หลังครีเอทีฟ (Creative Defender) เช่น Hummels, Mascherano และ  Vermaelen(มั้ง) คนละอย่างกับ Ball-Playing ใน FM นะ แต่ไม่ต่างมาก

 

 

 

ทิ้งท้าย แบบย่อไว้ก่อน

เราอาจอสรุปได้ว่าแนวโน้มความต้องการของคุณสมบัตินักเตะในทีมระดับท็อป มีแต่จะต้องการ นักเตะที่มีความสามารถรอบด้าน (All-rounder)  มีวิสัยทัศน์ไหวพริบ กว้างไกลมากขึ้น

 

  ส่วนนักเตะคลาสสิคประเภทหน้าเป้าโป้งปิด(ตัวอย่างเช่นตอนที่แล้ว), ปีกแบบคลาสสิค, เพลเมคเกอร์หมายเลข10 (Enganche) มีแต่จะสูญพันธุ์ลงไป ??  หรือท้ายที่สุดแล้ว 4-4-2 จะกลับขึ้นมาเกิดขึ้นได้อีกครั้ง เพราะช่วงหลังๆมานี้ 3-5-2 (Juventus), 3-4-3 (Barca,Juventus) ได้หวนกลับมาอีกครั้ง = ว่าถ้าทฤษฎีนี้ถูก  แผนการเล่น(ในแง่ผังการเล่น)  มันก็ไม่ได้ก้าวไปไหน หากแต่วนเวียนไปวัฎจักร แต่สิ่งที่เปลี่ยนคือ ความต้องการนักเตะหรือ (Player Requirements) ดังที่กล่าว  เพื่อเหตุผลในเชิงแทคติคคือ การประหยัดตำแหน่งในตัวรุก!?

 

 

  ผมไม่แน่ใจว่าจำเป็นที่จะต้องมีตอนต่อไปไหมและจะออกมาเมื่อไหร่ (เอาเป็นว่าขอ edit 2 บทความแรกให้สมบูรณ์อ่านแล้วไม่งงก่อนแล้วกัน)

 

เพราะมันก็ได้ตอบคำถาม 3 ข้อใหญ่ไปในตัวแล้ว และบางท่านอาจจะเก็ตกับสิ่งที่ผมพยายามอธิบายไปแล้ว เพราะตอนต่อไปผมก็คงเขียนเป็นเรื่องของ ที่มาของ modern 4-3-3/4-2-3-1  การขึ้นมาของ  Makelele  และการจากไปของหมายเลข ’10 ซึ่งอันนี้เชื่อว่าทุกคนคงรู้ดีแล้วล่ะ

 

หรือในคำถามย่อยข้อ 3  คือ ทำไมฟุตบอลโลกน่าเบื่อมากขึ้น?   ให้ท่านลองนึกถึงเกมก่อนรองปี’06 ระหว่าง Portugal และ Holland ที่เป็นเกมประวัติศาสตร์ที่มีการแจกเหลืองแดงมากที่สุด รวบรวมกลางรับที่โหดที่สุดในโลกมารวมกัน เช่น Maniche,Costinha  vs Cocu, V.Bommel   คือมันหงุดหงิดเพราะเจาะ-กินกันไม่ลง  แถมมีหน้าเป้าเป็นสาก Kuyt และ Pauleta/Almeida จนทำให้ปี 06 กลายเป็น เกมอารมณ์มากกว่าความสนุกสนาน       ลามมาจน Headbutt ฆ่าตัวตายของ Zidane  ที่ต้องการประกาศให้โลกรู้ว่า ยุคแห่งราชาโจรสลัดได้หมดสิ้นลงที่เขาแล้ว.............เอ้ยยยยยยยยยยยยยยยยย!!!!!!

 

  ***แต่จะมีประเด็นในเรื่องของกลางรับ ซึ่งเป็นประเด็นที่ค่อนข้างละเอียดอ่อน เพราะมันมีการเปลี่ยนแปลงเร็วมว้ากกกกและเปลี่ยนอยู่ตลอด   รวมถึงไม่ได้มีแบบไหนที่หายออกไปเลย  ซึ่งหากนำมาพูดเด๋วจะยาก เช่น

 

-อย่างช่วงยุค 2006+ เริ่มเกิด การลดจำนวนไปของกลางรับแบบ  Makelele  หรือ (Ball-winning,Physical, Anchorman)  ในกรณีChelsea คือ แทนที่ด้วยการมาของ  Mikel  และ Essien  ใน Germany ก็คือ Schwein แทน Frings    ฯลฯ

 

-ยุค 2007-8+   ได้การเกิดขึ้นของ Carrick, Busquets, D.Pizarro (Deeplying-Playmaker) หรือแบบ Pep/Pirlo  เก่านั้นแหละ

ช่วง 2-3 ปีมานี้  กลายเป็นว่า Regista(Deeplying แขนงหนึ่ง) และ Enganche(Playmaking แขนงหนึ่ง)   ได้หวนกลับมาอีกครั้ง   ซึ่งไม่แปลกเลยทำไม FM2014  ถึงยิ่งซอยย่อยประเภทกองกลางตัวกลางให้เป็นตำแหน่งที่แบ่งแยกหน้าที่มากที่สุดไปแล้ว

-หรือกรณียกเว้นพิเศษไม่กี่ทีม  เช่น  Roma ยุค Capello ที่มักจะเล่นแผนแปลกๆเป็นปกติอยู่แล้ว (3-5-2/3-1-3-2-1)  คือ มี Emerson(C.Zanetti/Tomasi)  ลามมาถึง  Madrid ที่ลุงแกก็ดึงมาด้วย   และ  Milan ยุคPirlo ที่เป็นข้อยกเว้นอยู่แล้ว

 

-ยังไม่อยากจะพูดถึงเพราะมันเปลี่ยนตลอด   ยิ่งในปัจจุบัน Bayern ของ Pep (4-1-4-1)  ก็กำลังอยู่ในช่วงที่ได้รับกระแสความสนใจเป็นอย่างมาก เพราะการจัดแผนกองกลางแบบนี้เป็นวิธีใหม่ในการดีลกับกลางรับในปัจจุบันได้ โดยการ overload พื้นที่ช่วง wingbacks เก่าและกลางรับออกไป

 

 

 

Work in Progress   รูปจะมาใส่ให้ภายหลังแน่นอน จะได้เข้าใจง่ายๆ   เพราะผมยังงเองเลย55+ :003:
 

Edited by PedNewCastle
Posted

อ่านจบแล้ว  นึกอยากทำแผน  กองหลัง3 คนขึ้นมาเลย  จะว่าไปกองหน้าหมายเลข 10 ก็หายากด้วยแหละ  (รูนนี่ใช่ป่าวครับตอนนี้ที่ลงมายืนเป็นหมายเลข 10  นู้สึกว่าแมนยูยังจะอนุรักสไตล์ตัวเองไว้  ถึงเปลี่ยนก็เปลี่ยนนิดหน่อย)

 

จะว่าไปอยากลอง 3-5-2  แบบยุเว่ซะละ  น่าสน

Create an account or sign in to comment

You need to be a member in order to leave a comment

Create an account

Sign up for a new account in our community. It's easy!

Register a new account

Sign in

Already have an account? Sign in here.

Sign In Now
×
×
  • Create New...

Important Information

FM-Thai.com uses cookies, by using our website you agree to our use of cookies as described in our Privacy Policy We have placed cookies on your device to help make this website better. You can adjust your cookie settings, otherwise we'll assume you're okay to continue.